เคาะแล้วสำหรับงานเปิดตัวสินค้าของ Apple หรือ Apple Event ที่ในปีนี้จะจัดขึ้นบนไลฟ์สตรีม ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเข้าไปติดตามได้ผ่านเว็บไซต์ Apple.com หรือผ่านช่อง YouTube ของทาง Apple นั่นเอง โดยในปีนี้มาในธีมของ “Hi, Speed” ซึ่งอาจจะแย้มถึงการนำเอาเทคโนโลยี 5G เข้ามาบนโทรศัพท์ iPhone
วิธีการรับชมการถ่ายทอดสด
iPhone 12
ปีนี้ก็เช่นกันที่ทางแอปเปิลจะทำการเปิดตัวสินค้ายอดฮิตอย่าง iPhone 12 ซึ่งในปีนี้มีการคาดการและข้อมูลหลุดขึ้นมาสำหรับ iPhone 12 ที่จะมีหลายรุ่น หลายสีเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานที่แตกต่างกันอีกด้วย ซึ่งในปีนี้ดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าในปีที่แล้วที่มีการเปิดตัว iPhone 11 ซะด้วยสิครับ
โดยในปีนี้ ทางฟอร์บส์ได้ทำการนำเอาข้อมูลมาจากผู้ใช้งาน Apple Rumor บนทวิตเตอร์ ซึ่งเป็นบัญชีผู้ใช้งานที่มีการเอาข้อมูลออกมาแล้วถูกอยู่หลายครั้ง โดยราคาและรุ่นที่มีการพูดถึงมีดังนี้ครับ
iPhone 12 mini (5.4”)
64GB $649 (ประมาณ 21,800 บาท)
128GB $699 (ประมาณ 23,400 บาท)
256GB $799 (ประมาณ 26,800 บาท)
iPhone 12 (6.1”)
64GB $749 (ประมาณ 25,100 บาท)
128GB $799 (ประมาณ 26,800 บาท)
256GB $899 (ประมาณ 30,100 บาท)
iPhone 12 Pro (6.1”)
128GB $999 (ประมาณ 33,500 บาท)
256GB $1099 (ประมาณ 36,900 บาท)
512GB $1299 (ประมาณ 43,600 บาท)
iPhone 12 Pro Max (6.7”)
128GB $1099 (ประมาณ 36,900 บาท)
256GB $1199 (ประมาณ 40,200 บาท)
512GB $1399 (ประมาณ 46,900 บาท)
*โดยราคาข้างต้นเป็นราคาบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้ว และใช้อัตราแลกเปลี่ยน 31.34 บาท และอาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง
จะเห็นได้ว่ามีโทรศัพท์รุ่นเล็ก (mini) เข้ามาร่วมวงอีกด้วย ซึ่งจะเป็นอย่างไร ขนาดหน้าจอเล็กเหมือน iPhone 5S หรือไม่ก็รอติดตามกันในวันเปิดตัวกันได้เลยครับ
ฟีเจอร์ LiDAR Sensor
ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะติดตัวเครื่องมานั่นก็คือ LiDAR Sensor ที่ในปัจจุบัน iPad Pro มีติดเครื่องเพื่อนำไปใช้งานในด้าน AR ที่จะคำนวณความใกล้ไกลระหว่างตัวสมาร์ทโฟนและวัตถุนั้นๆ ได้อย่างแม่นยำ
โดยผมคาดว่า Apple สามารถใช้เทคโนโลยี LiDAR Sensor มาใส่ไว้กับกล้องหลัง เพื่อให้สามารถถ่ายภาพที่เป็นแบบโบเก้ หรือภาพหน้าชัดหลังเบลอโดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีกล้อง Telephoto หรือกล้องซูม และใช้เทคโนโลยี Neural Engine ในการคำนวณภาพให้ออกมาสวยงามมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ในการถ่ายภาพก็สามารถถ่ายภาพสวยเท่ากล้องรุ่นท็อปได้
เทคโนโลยี 5G
และที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือในเรื่องของ 5G ที่มีการเปิดตัวกันในหลายประเทศแล้ว แม้ว่าในปีที่มีการเปิดตัว 4G ในประเทศไทยนั้น iPhone ในรุ่นนั้นจะไม่ได้เปิดตัวรุ่น 4G เข้ามาในทันที แต่มีการเปิดตัวในรุ่นถัดไปนั่นเอง ซึ่งอาจจะเป็นลางให้กับการเปิดตัวครั้งนี้ที่ Apple อาจจะไม่ได้เปิดตัว 5G ในทุกรุ่นทุกขนาดของโทรศัพท์เหมือนเคย
แต่มีข่าวลือว่า Apple อาจจะเปิดตัวเครื่องที่รองรับ 5G เป็นเพียงบางรุ่น อย่างเช่น Pro หรือ Pro Max ก็เป็นได้
ชิป A14 Bionic
ชิปที่มีการเปิดตัวในเดือนกันยายนอย่าง A14 Bionic นั้นเรียกกระแสฮือฮาให้กับตลาดโทรศัพท์ได้เป็นอย่างมาก ชิปนี้เปิดตัวกันครั้งแรกกับ iPad Air รุ่นปี 2020 ที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกว่าเดิม กับขนาดชิป 5nm ที่มีความเร็วและแรงกว่ารุ่นที่แล้วด้วยเหตุผลจากการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์เข้าไปจากรุ่นก่อนถึง 38% และเพิ่มการคำนวณเมตริกซ์เพื่อใช้งานกับการคำนวณ Machine Learning , Neural Engine ที่ให้มาเพิ่มอีกเป็น 16 core พร้อมทั้งเพิ่มความปลอดภัยเข้าไปยังชิปด้วยเทคโนโลยี Security Enclave อีกด้วย
หากถามว่าผู้ใช้งานทั่วไปได้อะไรจาก A14 Bionic ตัวใหม่นี้ ก็จะบอกได้เลยครับว่าเพื่อนๆ จะเห็นถึง
- ความประหยัดพลังงานอย่างเห็นได้ชัด (จากการเปลี่ยนขนาดเป็น 5nm)
- ความเร็วและความสมจริงในการเล่นเกม เพราะได้เปลี่ยนสถาปัตยกรรม GPU มาเป็น 4 core แล้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานกว่า 40%
- การทำงาน Machine Learning อย่าง Siri และอื่นๆ ที่จะเร็วขึ้นไปอีกขั้นเช่นกัน
สีใหม่ สดใสกว่าเดิม
นอกจากนี้ก็มีการคาดการณ์เอาไว้ว่าแอปเปิลจะเปิดตัวสีใหม่สำหรับ iPhone 12 เช่นกัน ซึ่งในปีที่แล้วกับ iPhone 11 ก็ได้เปิดตัวสี Midnight Green ที่ทำให้ใครเห็นแล้วก็จะรู้ได้เลยว่าใช้ iPhone รุ่นใหม่อย่างแน่นอน ซึ่งในปีนี้ก็มีการคาดการณ์เช่นกันว่าจะมีสีใหม่มาให้เลือกกันอีกด้วย
ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นสีอย่าง สีทองสแตนเลส (Gold Stainless) แบบใหม่ (ภาพซ้าย) และ สีมิดไนท์บลู (Midnight Blue) ที่เป็นสีใหม่ที่มีแล้วบนนาฬิกา Apple Watch (ภาพขวา)
หรือแม้กระทั่ง สีสกายบลู สีโรสโกลด์ สีเขียว จากการเปิดตัวของ iPad Air
Apple Tag
ชิป U1 ที่ได้เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 11 ของแอปเปิลที่มีความสามารถในการค้นหาสิ่งของที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง Ultra-wideband Positioning) และด้วยว่าตัวชิปนั้นสามารถเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์ขนาดเล็กได้ บวกกับความสามารถในการระบุตำแหน่งในพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างแม่นยำ จึงมีความเหมาะสมเป็นอย่างมากในการนำชิปนั้นไปใส่ไว้ในอุปกรณ์เครื่องประดับ หรือแม้กระทั่งพวงกุญแจ
พวงกุญแจจากบริษัท Tile นั้นก็มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจนั่นก็คือการนำตัวพวงกุญแจไปติดไว้กับสิ่งของที่ชอบทำหายอยู่บ่อยๆ และใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่มีบลูทูธค้นหาพวงกุญแจนั่นเอง แต่ตัวพวงกุญแจก็ติดปัญหานั่นคือด้านการค้นหาระยะสั้น
การที่ทางแอปเปิลสามารถใช้ชิป U1 ไปติดไว้กับพวงกุญแจของตนเองก็อาจจะสามารถแก้ไขปัญหาที่ Tile หรือบริษัทใดก็ตามไม่สามารถทำได้ ซึ่งเป็นจุดแข็งให้กับทางแอปเปิลเป็นอย่างยิ่ง
หูฟัง Beats Studio
หูฟัง Beats นั้นถูกซื้อโดยบริษัทแอปเปิลตั้งแต่ในปี 2014 และด้วยว่าฟีเจอร์อย่าง U1 สามารถเอาไปใช้กับอุปกรณ์อะไรก็ได้ของแอปเปิล นั่นก็ทำให้การคาดการณ์ของสื่อที่เล็งเป้าไปยังการอับเดท Beats Studio ที่ไม่ได้รับการอับเดทด้านฮาร์ดแวร์มาหลายปีแล้ว โดยอาจจะนำเทคโนโลยีของแอปเปิลมารวมกับหูฟังของตนเองอีกเช่นกัน
และนั่นหมายความว่าบริษัท Apple จะมีหูฟังครบทุกขนาดแล้ว ตั้งแต่ AirPods ไปจนถึง Beats Studio ที่เป็นขนาดใหญ่ (Over Ear Headphone) และไม่จำเป็นที่จะต้องเอาหูฟังยี่ห้ออื่นมาขายบนเว็บไซต์หรือหน้าร้านของตนเองอีกต่อไป แต่นั่นหมายความว่าทางแอปเปิลจะทำการผูกขาดให้ร้านของตนนั้นขายสินค้าของตนเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งรายการนั่นเอง ซึ่งก็จะต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเป็นจริงตามข่าวลือหรือไม่
HomePod ขนาดอย่างเดียวที่เล็กลง
กว่า 3 ปีมาแล้วที่ Apple ได้เปิดตัวลำโพงอัฉริยะอย่าง HomePod ที่มีความล้ำหน้าในด้านของเสียงและเทคโนโลยี Siri แต่ก็ขายได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะด้วยราคาที่อาจจะสูงเกินไปของ HomePod
ในปีนี้ก็มีการลืออีกครั้งว่ามันกำลังจะกลับมา พร้อมกับการอับเดทชิปที่จากก่อนเป็นรุ่น A8 และมีการเพิ่มตลาดด้วยการขาย HomePod ขนาดเล็กกว่าเก่า ซึ่งทั้งคู่อาจจะทำให้ Apple นั้นสามารถเข้าไปยังตลาด Smart Home ได้ง่ายขึ้น เพราะปัจจุบันมีเพียง Google (กับ Google Nest) และ Amazon (Amazon Echo) เท่านั้นที่ตีตลาด Smart Home
และด้วยสัญญาณที่ Apple กำลังจริงจังกับตลาด assistant ที่สังเกตได้จากการเปิดตัว Siri เวอร์ชันใหม่ ที่มีความรู้และเสียงที่เหมือนจริงยิ่งจากการเปิดตัวในปีก่อนๆ แล้ว ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า Apple จะกลับมาอีกครั้งเพื่อมาทวงคืนศึกชิงผู้จัดการส่วนตัวในบ้านอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้จริงจังซะด้วย
วันเปิดตัว macOS Big Sur
หลังจากการเปิดตัว macOS Big Sur (หรือเวอร์ชัน 11 ของระบบปฏิบัติการ macOS) ตั้งแต่ในเดือนมิถุนายนบนเวที WWDC2020 แต่ระบบปฏิบัติการอย่าง iOS, iPadOS, TVOS, WatchOS นั้นก็ได้รับการอับเดทอย่างเต็มตัวตั้งแต่เดือนกันยายนแล้ว ก็จะเหลือเพียง macOS เท่านั้นที่ยังไม่ได้รับการอับเดท ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ macOS Big Sur นั้นจะถูกประกาศวันเปิดตัวให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ใช้อีกด้วย
ข้อมูลจาก
ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน USD-THB จาก Xe.com
ภาพบางภาพมีการตัดต่อเพื่อการแสดงผลบน Medium ทางเราไม่มีเจตนาในการปรับแก้เพื่อการโจมตีหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยแต่ละภาพที่ได้นำมาแก้ไขนั้นมีลิงก์เพื่อเข้าไปดูภาพต้นฉบับทั้งหมด