ใครอยากมีเว็บไซต์ ? ฉันหน่ะสิ ฉันหน่ะสิ แต่ยากมั้ย ? ก็ยากหน่ะสิ ยากหน่ะสิ แต่ในสตอรีนี้เราก็จะมาสอนวิธีการสร้างเว็บไซต์และใช้ WordPress ผ่านบริการคลาวด์ที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเองอย่าง Amazon Web Service (AWS) Lightsail พร้อมกับคำแนะนำในการทำให้เว็บไซต์นั้นสามารถเติบโต, ขยับขยายได้ตามความต้องการ และให้บริการได้อย่างรวดเร็วด้วย AWS S3, AWS CloudFront และ Plug-In ของ WordPress ที่เราก็จะนำมาแนะนำกันในสตอรีนี้ครับ

แต่สตอรีนี้อาจจะมีเนื้อหาที่บางคนอาจจะรู้จักกันแล้ว ดังนั้นเราเลยทำการแยกหน้าที่ในการทำงานต่าง ๆ ออกมาให้เพื่อนติดตามกันเป็นในลักษณะของซีรีส์ที่จะเต็มไปด้วยบริการของ Amazon Web Service อย่างเช่น Simple Storage Service (AWS S3), AWS CloudFront, AWS Identity and Access Management (AWS IAM), AWS Certificate Manager เพื่อให้เพื่อน ๆ สามารถนำไปทำตามกันได้อย่างง่ายดาย

สร้างเว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง!

แต่ขั้นตอนแรกที่เราจะมาอธิบายกันก็จะต้องเป็นเรื่องของแผนผังการให้บริการเว็บไซต์ WordPress ทั้งหมดที่เราจะทำกันในซีรีส์นี้กันครับ ใครทำถึงขั้นตอนไหนแล้วก็สามารถเข้าไปอ่านให้ครบได้จากลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ

โดยสตอรีนี้จะถูกแยกออกมาเป็นสตอรีตามประเภทการทำงาน ดังนั้นเพื่อนๆ สามารถติดตามตอนต่อไปของวิธีการทำเว็บไซต์ WordPress ด้วย Amazon Web Service ได้เลยครับผม! โดยในสตอรีนี้เราจะพูดถึง การเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานด้วยการให้บริการ HTTPS กับผู้ใช้งาน ด้วยการสร้าง Certificate และใช้ Plug-In เพื่อให้ WordPress ให้บริการ HTTPS อย่างเต็มตัว

แผนผังบริการที่จะใช้บน Amazon Web Service

นอกเหนือจากที่เราจะมาสร้างเซิฟเวอร์เบื้องต้นสำหรับ WordPress กันด้วย AWS Lightsail กันในสตอรีนี้แล้ว สิ่งที่เราต้องการที่จะให้มันออกมาก็คือเรื่องของการลดความพึ่งพาในเรื่องของการให้บริการของเซิฟเวอร์ให้ทำงานต่ำที่สุด และนั่นก็จะทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นให้บริการให้กับผู้ใช้งานได้มากขึ้น ใช้เวลาในการขอข้อมูลหน้าเว็บได้เร็วขึ้น และยังทำให้เรามีความยืดหยุ่นเช่นการใช้ Plug-In ได้มากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับทรัพยากรที่มีเท่ากัน

ภาพประกอบแผนผังด้านล่างเป็นการออกแบบปัจจุบันที่จะมีเพียงเซิฟเวอร์ตัวเดียวที่เราจะมาทำกันในซีรีส์นี้ ผ่านบริการคลาวด์ Amazon Web Service ทั้งหมด

และนอกจากนั้น เพื่อน ๆ สามารถนำไปพัฒนาต่อ เช่นการนำไปให้บริการเว็บไซต์ในหลายเซิฟเวอร์อย่างการทำ Load Balancing หรือการกระจายผู้ใช้งานได้อีกด้วย

สร้าง Instance WordPress ใน AWS Lightsail

โดยขั้นตอนแรกที่เราจะต้องทำนั่นก็คือการสร้าง Instance เพื่อทำหน้าที่ให้บริการหน้าเว็บไซต์พื้นฐาน โดยในที่นี้เราจะทำการสร้าง Instance ทั่วไปเป็นจำนวนหนึ่งตัวก่อน แต่ถ้าใครต้องการสร้างเพิ่มเพื่อทำเป็น Load Balancing ก็สามารถทำได้เช่นกันครับ

สนับสนุนโดย

AWS Lightsail คืออะไร ?

บริการ AWS Lightsail คือบริการรูปแบบใหม่ที่นำเอาบริการอย่าง AWS EC2, AWS Route 53, AWS CloudFormation, AWS VPC และบริการอื่นๆ เข้าด้วยกัน ด้วยการใช้งานที่เรียบง่าย รวดเร็ว และหน้าตากับราคาที่เป็นมิตร ทำให้ใครที่ไม่มีพื้นฐานในการบริหารเซิฟเวอร์หรือบริการคลาวด์อื่น ๆ ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง แค่กด ‘Next’ ก็เพียงพอต่อการเป็นเจ้าของเซิฟเวอร์แล้วหล่ะครับ

อีกหนึ่งสิ่งที่เทียบกับพวกบริการหลักอื่น ๆ ของ AWS เลยก็คือเรื่องของอัตราค่าบริการที่แน่นอนและราคาย่อมเยามากเมื่อเทียบกับการใช้เรทราคาแบบ On-demand เพราะราคาเริ่มต้นของ AWS Lightsail นั้นเริ่มต้นด้วย $3.50 ต่อเดือนสำหรับเซิฟเวอร์ (Instance) ที่แถม RAM 0.5 GB, พื้นที่จัดเก็บ SSD 20 GB ที่เพียงพอมากสำหรับการนำมาสร้าง WordPress และก็เป็นประเภทเซิฟเวอร์ที่เราจะนำมาใช้ในสตอรี่นี้

เข้าสู่หน้าเว็บไซต์ AWS Lightsail

หากเพื่อน ๆ มีบัญชี Amazon Web Service แล้วก็สามารถเข้าไปยังหน้าบริการ AWS Lightsail ได้ที่ https://lightsail.aws.amazon.com/ หรือเข้าผ่านคอนโซล AWS (AWS Console) และค้นหาบริการ AWS Lightsail ด้วย IAM Role ที่สามารถสร้าง AWS Lightsail ได้ / Root Account

เพื่อน ๆ ก็น่าจะเข้ามายังหน้าแท็บ Instances หรือ “เซิฟเวอร์” ที่จะมีลิสท์รายชื่อ Instance ทั้งหมดของเพื่อน ๆ

กด Create Instance และเลือก Region ตามที่ต้องการ

เพื่อทำการสร้าง Instance สำหรับเซิฟเวอร์ใด ๆ ก็ให้ทำการกดไปที่ปุ่ม “Create instance” สีส้ม และตัว Lightsail ก็จะพาไปตั้งค่าประเภทเซิฟเวอร์ที่เราต้องการ เริ่มต้นจากการเลือก Instance Location ครับ

Instance Location

Instance Location คือสถานที่หรือประเทศที่เซิฟเวอร์นั้นอยู่ โดยเราก็แนะนำว่าให้ทิ้งไว้ที่ Singapore, Zone A ครับ แต่ถ้าใครอยากจะเปลี่ยนมาเป็นประเทศอื่นอย่าง Singapore (Zone B) หรือ Mumbai หรือ Hong Kong ก็ได้เช่นกัน แต่ราคาและความสามารถในการให้บริการก็อาจจะมีความแตกต่างกันในแต่ละ Instance Location ที่เราเลือกใช้ครับ

เลือกใช้งาน Blueprint WordPress

ในอันถัดไปที่เพื่อน ๆ ต้องไปเลือกใช้งานก็คือ Blueprint หรือก็คือเป็นเหมือพิมพ์เขียวที่จะสร้างเซิฟเวอร์ประเภทที่เราเลือให้โดยอัตโนมัติ ในสตอรีนี้เราก็จะต้องทำการเลือกประเภทเป็น “WordPress” ที่เป็นเวอร์ชันล่าสุด ส่วน “WordPress Multisite” นั้นเอาไว้สำหรับการให้บริการ WordPress หลายตัวภายใน Instance เดียว แต่ตัวเลือกนั้นน่าจะไม่จำเป็นสำหรับเพื่อน ๆ นะ

นอกจาก WordPress เองแล้ว ก็ยังมีบริการอื่นอย่างเช่น Joomla, Drupal, NginX, Ghost, Django และอีกมากมายที่เพื่อน ๆ สามารถเลือกไปใช้งานได้อีกด้วยครับ หรือจะไม่เลือกก็ได้เช่นกันครับสำหรับใครที่ต้องการเพียงแค่ OS เพียว ๆ ก็สามารถเลือกได้เช่นกัน

(ไม่บังคับ)​ สร้าง Key Pair เพื่อเชื่อมต่อผ่าน SSH ส่วนตัว

สำหรับใครที่ต้องการเข้าถึง Instance ด้วย SSH แล้ว เพื่อน ๆ ควรที่จะเลือกสร้าง Key Pair ในขั้นตอนนี้เลย เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้วเพื่อน ๆ ก็จะได้รับไฟล์นามสกุล .pem เพื่อเอาไว้เข้าถึงเซิฟเวอร์ผ่าน SSH ครับ ดังนั้นก็เก็บเอาไว้ให้ดี ๆ แล้วกันหล่ะ

แต่ถ้าใครยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำว่า SSH นั้นคืออะไรก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยครับเพราะไม่จำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว ถ้าจะต้องใช้ในอนาคต ก็สามารถใช้ SSH ในเบราว์เซอร์แทนได้เช่นกัน ซึ่งตัวเลือกการเข้าถึงนี้ไม่ต้องใช้ Key Pair ครับ

เลือกแผนราคา

มาถึงขั้นตอนการเลือกสเป็คสำหรับ Instance ของเราแล้ว สำหรับ AWS Lightsail นั้นจะเริ่มจากสเป็ค Instance ประเภท Burst ที่มี 0.5 GB RAM, 20 GB SSD, 1 vCPU และ 1TB Transfer ที่เพียงพอมากแล้วในราคา $3.5 ต่อเดือน และพิเศษสำหรับ หนึ่งเดือน สามเดือนแรก เพื่อน ๆ ก็จะสามารถใช้งานได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเลยครับ

แต่หากใครที่อาจจะลง Plug-In เป็นจำนวนมากก็สามารถเลือกสเป็คสำหรับเรทราคา $5 ก็ได้นะ พอเว็บไซต์ของคุณเลือกใช้ Plug-In เยอะ ๆ ก็จะทำให้ RAM ไม่พอและอาจจะต้องไปใช้ Swapped RAM ที่ประสิทธิภาพที่ด้อยกว่า แต่สำหรับผู้เริ่มต้นหรือหัดเล่นก็ลองไปใช้ $3.5 กันก่อนก็ได้นะ

(ไม่บังคับ)​ ตั้งชื่อ Instance และเพิ่ม Key-Pair Tags

อีกหนึ่งอย่างที่เพื่อน ๆ ควรที่จะทำตั้งแต่ตอนนี้เลยก็คือการตั้งชื่อ Instance “Identify your instance” และการสร้างแท็กสำหรับ Instance นั้น “Key-value Tags / Key-only Tags” กันครับ และเมื่อทำทั้งสองอย่างได้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถกดปุ่มสร้าง Instance “Create Instance” เพื่อให้ Lightsail เริ่มทำการสร้างเว็บไซต์ได้เลย

Identify your instance

ในช่องนี้เพื่อน ๆ สามารถพิมพ์เพื่อตั้งชื่อของ Instance และชื่อนั้นก็จะปรากฎในหน้าแรก สำหรับตัวอย่างด้านล่าง ตัว Lightsail ทำการตั้งชื่อให้อัตโนมัติเป็น ‘WordPress-2’

Key-value / Key-only Tags

ใครที่ใช้ Instance เยอะ ๆ แล้วต้องการจัดการเรื่องของ Billing หรือการคิดคำนวนค่าใช้จ่ายในเรื่องของราคาง่าย ๆ ก็สามารถทำการสร้าง Key-only หรือ Key-value Tags เพื่อสร้างแท็กและเอาไปใช้เพื่อระบุดัวยตนเองได้ว่าค่าใช้จ่ายแต่ละอันนั้นคืออะไร

เข้าไปดูผลงาน (หน้าเว็บไซต์) ซักนิดหนึ่ง

หลังจากทำการกดปุ่ม ‘Create Instance’ แล้ว ตัว Instance ก็จะค่อย ๆ สร้าง Instance ประเภท WordPress ให้เราโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 – 5 นาทีในการสร้างจนสำเร็จ และหลังจากนั้นเราก็จะเห็น IPv4 ของ Instance ในช่องที่เขียนว่า “Public IP” นั้นในหน้าแรกของ Lightsail ให้เราทำการคัดลอกและกด ENTER เพื่อเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์

ในตัวอย่างนี้ ตัว IP Address ของ Instance ก็จะเป็น 11.12.13.14 ครับ

ถ้าทุกอย่างถูกต้องและทำงานได้อย่างปกติแล้ว เพื่อน ๆ ก็จะเห็นหน้าเว็บไซต์เหมือนในภาพประกอบด้านล่างครับ

ติดตั้ง WordPress + รับชื่อผู้ใช้-รหัสผ่าน

หลังจากที่ได้ทำการเข้าไปชม Instance ของตัวเองแล้ว เพื่อนๆ จะสามารถเปิดหน้าเว็บไซต์และเข้าสู่ระบบแอดมินของ WordPress ได้ทันทีด้วยการเข้าไปที่ IP Address ที่ทาง AWS ระบุไว้ในหัวข้อ ‘Connect To’ และลงท้ายด้วย /wp-admin/

ในที่นี้เราก็จะต้องทำการเข้าไปที่ http://13.212.4.78/wp-admin/ แต่เพื่อเข้าไปที่หน้าคอนโซลแอดมินบน WordPress ก็จะต้องใช้ชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านเบื้องต้น โดยที่

  • ชื่อผู้ใช้งาน: user
  • รหัสผ่าน: รันคำสั่ง cat bitnami_application_password ใน SSH Client เพื่อรับรหัสผ่านเข้า WordPress

และผมแนะนำให้เพื่อนๆ เปลี่ยนรหัสผ่านทันทีหลังจากเข้าด้วยรหัสผ่านเบื้องต้น โดยเพื่อนๆ สามารถดูขั้นตอนการเปลี่ยนรหัสผ่านได้จากลิงก์นี้ครับ https://wordpress.org/support/article/resetting-your-password/

เชื่อมต่อ Instance ผ่าน SSH

ก่อนที่จะพร้อมให้ผู้ใช้เชื่อมต่อผ่าน SSH โดยเราสามารถกดเข้าไป Instance ได้จากหน้าแรก และภายใน Instance ก็จะมีหน้าตาประมาณนี้ครับ

เพื่อเชื่อมต่อกับ Instance ก็ให้ทำการเลื่อนไปข้างล่างและกดไปที่ Connect to SSH หรือเชื่อมต่อผ่าน Terminal ด้วยชื่อผู้ใช้งาน ‘bitnami’ และรหัส/คีย์ ตามขั้นตอนด้านล่างครับ​ โดยเราจะทำการเชื่อมต่อ SSH ผ่านหน้าเว็บเบราว์เซอร์ครับ

ให้เพื่อนๆ กดไปที่ Connect to SSH และหน้าต่าง SSH ย่อยจะเปิดขึ้นครับ

ติดตั้ง Plug-in

ภายใน WordPress นั้น เราจำเป็นต้องใช้ Plug-in ดังต่อไปนี้

  1. WP Offload Media Lite for Amazon S3, DigitalOcean Spaces, and Google Cloud Storage
    เพื่อให้มีการอัพโหลดไฟล์ Media ทั้งหมดเข้าไปสู่ Bucket ที่อยู่ใน AWS S3 และเปลี่ยนการดึงรูปไปเป็นที่ AWS CloudFront แทน WordPress
  2. Really Simple SSL
    เพื่อให้สามารถให้บริการ HTTPS ให้กับผู้ใช้ได้ง่ายมากขึ้น และ HTTPS ส่งผลโดยตรงกับคะแนนอินเด็กซ์ใน Google Search

รวมไปถึง Plug-in ที่ผมแนะนำให้ใช้งานเพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ-ค่าแบนด์วิดท์ที่อาจเป็นตัวแปรหนึ่งที่จะทำให้บิลของเพื่อนๆ สูงขึ้น

  1. EWWW Image Optimizer
    เพื่อเปลี่ยนไฟล์ฟอร์แมท .png และ .jpg เป็นฟอร์แมทรุ่นใหม่ .webp ที่ลดขนาดไฟล์ได้ถึง 20-80%
  2. Autoptimize
    เพื่อทำการ Minify ไฟล์ HTML/CSS/JS และทำ cache เอาไว้ให้เว็บโหลดเร็วขึ้น
  3. Jetpack
    เพื่อการทำ Analytics เบื้องต้น, แจ้งเตือนเซิฟเวอร์ไม่ตอบสนอง, การเข้าใช้งานผ่านแอพฯ​ WordPress และบริการอื่น ๆ ที่ีมีให้ใน Plug-In Jetpack

โดยขั้นตอนในการตั้งค่า Plug-in ข้างต้นนี้ ผมจะไปเขียนไว้ที่แต่ละหัวข้อที่ Plug-in นั้นๆ เกี่ยวข้องเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น และผมขอข้าม Plug-in ที่แนะนำเพื่อความรวดเร็วนะครับ

สร้างเว็บไซต์สำเร็จแล้ว!

หากเพื่อนๆ สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ WordPress ของตัวเองผ่านเบราว์เซอร์ได้ตามภาพก็ถือว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว! ได้ WordPress ของตัวเองไปใช้งานกันได้แล้ว

แต่งานของเรายังไม่เสร็จ เพราะขั้นตอนถัดไปเรา

จำเป็นจะต้องเพิ่มมาตรการความปลอดภัยด้วย HTTPS เพื่อให้ผู้ใช้งานอุ่นใจมากขึ้นเมื่อเข้าชมเว็บไซต์ของเรา ที่จะส่งผลโดยตรงกับคะแนน Index ของพวก Search Engine ดังนั้นตอนต่อไปเราก็จะมาทำการขอ Certificate และทำให้เว็บไซต์ของเราใช้ HTTPS ทั้งเว็บไซต์กันครับต้องการที่จะโอนย้ายไฟล์อย่างเช่นมีเดียไปยัง AWS S3 เพื่อไม่ให้ใช้พื้นที่ 20 GB ที่มีอยู่ใน Instance จนหมดและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการรูปด้วยการใช้ CloudFront

แต่ก่อนที่เราจะไปติดตั้งหัวข้ออื่น เราจำเป็นจะต้องเพิ่มมาตรการความปลอดภัยด้วย HTTPS เพื่อให้ผู้ใช้งานอุ่นใจมากขึ้นเมื่อเข้าชมเว็บไซต์ของเราว่าเว็บของเราน่าเชื่อถือ และส่งผลโดยตรงกับคะแนน Index ของพวก Search Engine อย่างเช่น Google

ดังนั้นเพื่อน ๆ สามารถติดตามตอนต่อไปของเรา ที่จะไปทำให้เว็บไซต์ของเราเป็น HTTPS กันครับ และหลังจากนี้เราก็จะไปทำในเรื่องของการ Offload Media ที่เรามีด้วยการใช้ AWS S3 และ AWS CloudFront ให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ข้อมูลอ้างอิง
สนับสนุนโดย

Share this post

About the author