ก็ได้เวลาแล้วสำหรับการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในรูปแบบออนไลน์หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ โดยในปีนี้ทาง Apple ก็ได้ทำการเปิดตัวแล้วกับ iPhone 12 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์มากมายที่จะทำให้เพื่อนๆ ที่ใช้ iPhone 7, iPhone 8, iPhone 10 และ iPhone 11 นั้นได้ตัดสินใจอับเกรด iPhone มาเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด กับการรีวิวและความคิดเห็นจากฟีเจอร์ต่างๆ ที่จะอยู่ในสตอรีนี้

จัดมาให้เบิ้มเบิ้มถึง 4 รุ่น + 3 ขนาด

ในปีนี้พิเศษหน่อยสำหรับผู้ใช้หน้าจอเล็กและใหญ่ เพราะว่ามีรุ่นให้เลือกถึง 4 รุ่นที่มาพร้อมกับ 3 ขนาด นั่นคือ 5.4 นิ้ว (iPhone 12 Mini) 6.1 นิ้ว (iPhone 12 และ iPhone 12 Pro) และ 6.7 นิ้ว (iPhone 12 Pro Max)

ความน่าสนใจของในการเปิดตัวในปีนี้ก็คือการเปิดตัวขนาดหน้าจอเล็กอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่หายไปตั้งแต่รุ่น iPhone 6 ที่มีขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ด้วย iPhone 12 Mini ที่มีขนาดหน้าจอขนาดเล็กที่สุดและยังคงขนาดที่พกพาติดมือเหมือนเคย

และมาพร้อมกับพี่ใหญ่กับ iPhone 12 Pro Max ที่ครั้งนี้จัดมาให้เบิ้มกว่าเดิมอีก 0.2 นิ้ว ด้วยขนาดหน้าจอถึง 6.7″ ก็จะทำให้เพื่อนๆ ที่ต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอขนาดใหญ่อยู่แล้วได้หน้าจอที่ใหญ่และสะใจกว่าเดิมอย่างแน่นอน

ความน่าสนใจของซีรีส์ iPhone 12 นั้นจะเห็นได้ว่า Apple ต้องการที่จะลดปัญหาของผู้ใช้งานที่ต้องการขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน ซึ่งมาตั้งแต่การมีอยู่ขนาดเดียวของซีรีส์ iPhone 5 และมาถึง iPhone 6 ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น (หรือรุ่น Plus / Max) และครั้งนี้ก็กลับมาพร้อมขนาดเดิม (ซึ่งตอนนี้เป็นขนาดเล็กไปเสียแล้ว)​ ขนาดปกติ และขนาดใหญ่ ที่อาจจะทำให้ปีนี้ Apple สามารถทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทโฟนขนาดเล็กนั้นได้พึงพอใจและยังซื้อ iPhone รุ่นใหม่อีกครั้งนั่นเอง

จอคมชัดระดับ Super Retina XDR

ครั้งนี้แอปเปิลกลับมากับการยกหน้าจอระดับเทพอย่าง OLED มาให้ผู้ใช้งานที่ไม่ได้ซื้อ iPhone ในตระกูล Pro ได้ใช้กันแล้ว นั่นหมายความว่า เพื่อนๆ จะได้รับประสบการณ์กับหน้าจอที่คมชัดมากขึ้น หน้าจอสว่างขึ้น หน้าจอรองรับความดำสนิท และการแสดงสีที่แม่นยำและสดใสมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในปีนี้ทุกรุ่นของ iPhone 12 นั้นจะเป็นหน้าจอ Super Retina XDR ทั้งหมด

หากว่าเพื่อนๆ ไม่เคยสัมผัสกับหน้าจอ OLED ของแอปเปิลที่อยู่บนซีรีส์ iPhone 11 Pro ว่าเป็นอย่างไร หรือกำลังที่จะย้ายออกมาจากค่ายสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอแบบ OLED ติดหน้าจอแล้ว ผมแนะนำให้เพื่อนๆ ไปดูที่ร้านและลองใช้งานทั่วไปกับหน้าจอดูครับ เพื่อนๆ จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง และเห็นได้อย่างชัดเจนในการใช้งานภายนอกอาคาร ในที่สว่างมากหรือมืดสนิท เป็นพิเศษครับ

กันน้ำกันฝุ่นระดับเทพ

ในปีนี้ แอปเปิลก็ได้ทำการชูในเรื่องของการป้องกันน้ำ โดย iPhone รุ่นใหม่นี้จะมาพร้อมกับการป้องกันกับระดับ IP68 พร้อมกับการป้องกันน้ำถึง 6 เมตร (ในเวลา 30 นาที) ซึ่งในอดีตแล้วก็มีผู้ใช้งาน iPhone หลายคนต้องการท้าทายว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ดำน้ำลืกได้มากขนาดไหน โดยในปีที่แล้วทาง CNET ได้ทำการเอา iPhone 11 ไปดิ่งลงไปในน้ำทะเลลึกถึง 12 เมตรและก็รอดกลับมา ซึ่งเกินจากค่าที่ทาง Apple ได้เคลมไว้อย่างมากเลยทีเดียว

และอีกเช่นกัน ในปีนี้ Apple ก็ได้เพิ่มตัวเลขที่ตัวเองเคลมเข้าไปอีกเป็น 6 เมตร ซึ่งก็เป็นเรื่องดีสำหรับผู้ใช้งาน iPhone ที่อาจเผลอทำโทรศัพท์ตกน้ำให้ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะเสียอีกด้วย

หน้าจอ Ceramic Shield อันแข็งแกร่ง

นอกจากการป้องกันการเผลอทำน้ำหกแล้ว ของที่มาคู่กันเลยนั่นก็คือเรื่องของหน้าจอกระจกของ iPhone นั่นเอง เพราะด้วย iPhone นั้นมีกระจกอยู่ทั้งสองฝั่ง (กระจกหน้าจอ และ กระจกด้านหลังเพื่อชาร์จไร้สาย)​ เพื่อนๆ หลายๆ คนก็อาจจะต้องไปซื้อฟิล์มหน้าจอเพื่อป้องกันการตกกระแทกและทำให้หน้าจอแตก

และในปีนี้ Apple จึงได้ทำการเปิดตัว Ceramic Shield จากบริษัทเดียวกันที่ผลิต Gorilla Glass ที่ได้เคลมเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ที่จะป้องกันหน้าจอแตกได้อย่างดียิ่งขึ้นอีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันการตกได้ดีกว่าหน้าจอ Gorilla Glass รุ่นอื่นถึง 4 เท่าตัว ทำให้เพื่อนๆ อาจจะได้ต่อลมหายใจอีกเฮือกหนึ่งเมื่อเพื่อนๆ ทำโทรศัพท์ตกในครั้งต่อไป

ด้วยปัญหาที่ผู้ใช้งาน Apple มีนั่นก็คือ เมื่อหน้าจอสมาร์ทโฟนแตกก็เหมือนจะต้องเปลี่ยนเครื่องกันเลยทีเดียว เพื่อให้หน้าจอนั้นสามารถป้องกันน้ำและฝุ่นได้เหมือนเดิม ทำให้ค่าใช้จ่ายของการเปลี่ยนหน้าจอผ่าน Apple Store นั้นมีค่าใช้จ่ายถึง 6,599 บาทกันเลยทีเดียว (ข้อมูลราคาอ้างอิงของการเปลี่ยนหน้าจอ iPhone 11) ทำให้เพื่อนๆ อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อประกันหน้าจอแตก (Apple Care+)​ อีกต่อไป​

การชาร์จไร้สายความเร็วสูง MagSafe

MagSafe นั้นเป็นชื่อทางการค้าของ Apple มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ชื่อนี้มาจากการที่ผู้ใช้งาน Macbook สามารถชาร์จโน๊ตบุ้คของตัวเองได้โดยไม่ต้องกลัวที่จะกลัวคนมาสะดุด เพราะที่ชาร์จนั้นจะเป็นแม่เหล็กและดูดแปะกับเครื่องไว้นั่นเอง

แต่ในปีนี้ Apple ก็ได้ทำการเปิดตัวที่ชาร์จไร้สาย ที่มาพร้อมกับแม่เหล็กที่จะสามารถให้เพื่อนๆ สามารถชาร์จ iPhone 12 ของเพื่อนๆ และสามารถถอดที่ชาร์จออกได้อย่างสะดวกนั่นเอง

โดยการชาร์จนี้จะรองรับการชาร์จในความเร็วสูงสุดที่ 15W ผ่านการใช้อแดปเตอร์ 20W ของ Apple (จำเป็นต้องซื้อแยก)​ และต้องชาร์จผ่านที่ชาร MagSafe เท่านั้น จึงหจะสามารถชาร์จความเร็วสูงได้นั่นเอง แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการชาร์จแบบไร้สายทั่วไป ตามมาตรฐาน Qi ก็จะสามารถชาร์จไฟได้ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 7.5W จึงอาจจะเหมาะสมกับการชาร์จค้างคืนมากกว่า และเก็บ MagSafe ไว้สำหรับการชาร์จไปใช้ iPhone ไปเสียมากกว่า

โดยแท่นชาร์จพื้นฐาน (MagSafe Charger)​ ของแอปเปิลนั้นได้เปิดขายเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับการเปิดตัว iPhone 12 และจะรองรับการชาร์จแบบ MagSafe บน iPhone 12 ขึ้นไปเท่านั้นครับ แต่สำหรับที่ชาร์จ MagSafe ของยี่ห้ออื่นๆ อย่างเช่น Belkin ก็คงจะตามมาขายเร็วๆ นี้แน่นอน เพื่อนๆ สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับแอสเซสเซอรี่จากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายชั้นนำได้เลย

สีสันที่ให้จับจอง

สำหรับ iPhone 12 และ iPhone 12 Mini

นอกจากฟีเจอร์ที่ได้กล่าวถึงในข้างต้นแล้ว ในปีนี้ทางแอปเปิลก็ได้ออกมาให้เพื่อนๆ เลือก iPhone 12 กันถึง 5 สีกันเลยทีเดียว อย่างเช่นสีดำ สีขาว สีเขียว สีแดง (Product RED) และแน่นอนกับสีใหม่ของปีนี้นั่นคือสีน้ำเงินนั่นเอง และด้านข้างที่ทำด้วยอลูมิเนียมตามสีของตัวเครื่อง ซึ่งก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ Apple ได้ทำการเลือกสีสันสดใสให้กับ iPhone รุ่นปรกติ และสีที่หรูหราในรุ่น Pro

สำหรับ iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการโทรศัพท์ระดับเทพสุดของแอปเปิล ซึ่งในปีนี้ก็ไม่วายใช้กรอบของเครื่องเป็นสแตนเลส และกระจกด้านหลังที่เป็นแบบด้าน ก็สามารถจองได้แล้วเช่นกัน โดยมีสีให้เลือกถึง 4 สีเช่นเดิม นั่นคือ สีเงิน, สีกราไฟต์, สีทอง และสีใหม่อย่างสีแปซิฟิกบลู

โดยปีนี้สีที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดสีหนึ่งในตระกูล iPhone 12 นั่นก็คือสีแปซิฟิกบลู (Pacific Blue) เพราะเป็นสีใหม่สำหรับ iPhone รุ่นปีนี้โดยเฉพาะ ซึ่งปีก่อนหน้านั้นที่ Apple ได้ทำการเปิดตัวสี มิตไนท์กรีน (Midnight Green) นั้นก็ได้รับออเดอร์การจองเป็นจำนวนมาก จนโควต้าจองนั้นหมดก่อนสีอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

ฟีเจอร์ระดับโปร

สำหรับ iPhone 12 Pro แล้ว ก็เป็นอีกครั้งที่ Apple ได้สร้างความแตกต่างให้กับรุ่น Pro ซึ่งในปีนี้เป็นในเรื่องของกล้องเหมือนเคย โดยนอกจากจะเพิ่มกล้องซูม​ (Telephoto) ที่จะมีเฉพาะในรุ่น Pro แล้ว ก็ยังทำการอับเดทเซนเซอร์รับภาพภายในของตัวกล้อง เพื่อให้ iPhone 12 Pro นั้นสามารถรองรับการสั่นได้ดีขึ้น จากการเพิ่มตัวกันสั่นในระดับเซนเซอร์ และเพิ่มขนาดเซนเซอร์ให้สามารถถ่ายภาพได้ในขนาดใกล้เคียงกับกล้องแพงๆ ได้

นั่นเป็นสัญญาณว่า Apple ต้องการทำรุ่น Pro ไว้สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการถ่ายภาพได้ออกมาอย่างมืออาชีพ และไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อกล้องราคาแพง ตัวละเป็นแสนอีกต่อไป

ถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ดีขึ้นด้วย LIDAR

หนึ่งในการใช้งาน LiDAR Sensor ที่ติดมากับรุ่นโปร นั่นก็เพื่อการใช้งาน AR เพราะตัวเซนเซอร์จะสามารถวัดความตื้นลึกของวัตถุได้ โดย iPad Pro รุ่นปัจจุบันนั้นมีติดเครื่องอยู่ และอีกหนึ่งการใช้งานนั่นก็คือการถ่ายภาพในตอนกลางคืน ที่จะทำให้กล้องสามารถโฟกัสวัตถุในพื้นที่แสงน้อยได้รวดเร็วขึ้น โดยทาง Apple ได้เคลมไว้ว่าสามารถโฟกัสภาพตอนกลางคืนจาก 3 วินาทีให้เหลือ 2 วินาทีได้

การถ่ายแบบโปรด้วย Apple ProRAW

การเพิ่มเซ็นเซอร์กล้องที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถถ่ายภาพเป็นแบบ RAW (หรือทางแอปเปิลได้ทำการเรียกว่า Apple ProRAW) และภาพที่ถ่ายมานั้นเข้าใกล้ความเป็น Full Frame ซึ่งมีเพียงกล้อง DSLR ราคาสูงเท่านั้นถึงจะมีได้ แต่ในครั้งนี้โทรศัพท์อย่าง iPhone ก็ได้เอามาใส่ไว้ในรุ่น 12 Pro Max เป็นที่เรียบร้อย

และอีกมากมาย

นอกจากนี้ก็มีการเพิ่มเติมในเรื่องของการพร้อมใช้งานระบบ 5G (ซึ่งอาจจะต้องดูความพร้อมของ iPhone ในด้านคลื่นความถี่ก่อน)​ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายในอย่างชิป A14 ที่ทรงพลังที่สุดในตลาดสมาร์ทโฟนปัจจุบัน และแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักที่เบาลง บางลง โหมดการถ่ายภาพแบบ Timelapse ในเวลากลางคืน และอีกมากมาย ซึ่งเพื่อนๆ สามารถอ่านในข้อมูลทางเทคนิคของแอปเปิลได้ที่นี่

โฆษณา

Share this post

About the author