ปีใหม่แล้วหลายๆ คนอาจจะได้ตั้งเป้าหมายสำหรับปีนี้กันไปเรียบร้อยแล้ว อาจจะแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละปี แต่ที่เห็นมีมาให้เห็นกันทุกปีนั่นก็คือ “ปีนี้ฉันจะผอมลง” “ปีนี้ฉันจะทำให้ตัวเองแข็งแรง-สุขภาพดีขึ้น” “ปีนี้ฉันจะหุ่นเฟิร์มให้ได้” ซึ่งแน่นอนว่าหลายๆ คนก็น่าจะเคยอยากที่จะมีหรืออยากที่จะทำเป้าหมายนี้กันให้สำเร็จ

หรือน่าจะเกือบทุกคนที่ทำงานออฟฟิศ ได้มีนโยบายให้เริ่ม Work from Home กันแล้ว ซึ่งนอกจากที่เราจะไม่ได้สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานแล้ว ก็ยังต้องทำนู่นทำนี่ ที่บ้านก็ไม่มีบรรยากาศในการทำงานอีก บวกกับว่าปกติต้องเดินนู่นเดินนี่ ไปประชุมบ้าง ไปกินข้าวเที่ยง-ข้าวเย็นบ้าง แต่นี่ก็คืออยู่บ้าน! ไม่มีหรอกได้เดินไปไหน อย่างมากก็ตู้เย็นกับห้องน้ำ

ปัญหาพวกนี้จึงเป็นบ่อเกิดให้เกิดปัญหาทางจิตที่เรียกว่าโรคซึมเศร้า ซึ่งก็จะทำให้เราสามารถย้อนไปบรรทัดแรกได้ ที่ว่า “ปีนี้ฉันอยากมีสุขภาพที่ดี” แต่การที่เราไม่มีจิตที่โปร่ง ก็อาจจะทำให้เรามีสุขภาพที่แย่ลงก็เป็นได้

งั้นมาเริ่มวางแผนกันดีกว่า

แต่ก่อนที่จะออกกำลังกาย นอกจากว่าเราต้องรู้ว่าเป้าหมายของเรา (ที่วัดได้) นั้นเป็นอย่างไร และเมื่อวางแผนแล้ว ก็จะต้องไปหาซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย รองเท้าออกกำลังกายต้องมี เสื้อออกกำลังกายก็ไม่เลว หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ก็ค่อยๆ โผล่มาจากการไปดูเว็บไซต์ซื้อของออนไลน์แค่แป๊บเดียว…

และเมื่อรองเท้าออกกำลังกายพร้อม รู้ว่าจะไปออกกำลังกายที่ไหนแล้ว ก็เริ่มนับถอยหลังได้เลย! 3…2…1…ตู้ม! ล็อคดาวน์จังหวัด! ฟิตเนสปิด สวนสาธารณะก็เสี่ยงโรค สถานการณ์การแพร่ระบาดซึ่งเผลอ ๆ เพื่อนบ้านเราติด COVID-19 ไปซะแล้ว

แล้วมันหมายความว่าอะไรหล่ะ? นั่นหมายความว่าจะไม่ได้ไปออกกำลังกายข้างนอกบ้านแล้วเหรอ? แล้วปีนี้จะได้ผอม/สุขภาพดี/แข็งแรง ตามที่หวังไว้หรือเปล่านะ?

เทรนด์(จำเป็น)ของปี 2021

วันนี้เทคโนโลยีก็ได้เข้ามาเปิดโอกาสให้เพื่อนๆ หลายๆ คนให้รู้จักการออกกำลังกายที่นอกจากจะง่ายแล้ว ก็สามารถฟิตได้เมื่ออยู่ที่บ้านอีกด้วย และนอกจากที่เราจะสามารถเลือกคอร์สเรียนออนไลน์ที่เราอยากเรียนแล้ว ระบบใหม่ ๆ ก็จะมาพร้อมกับคำแนะนำในการออกกำลังกาย เหมือนว่าเรามีครูพี่เลี้ยงส่วนตัวเลยทีเดียว

แล้วเพื่อน ๆ อาจจะถามว่า “แล้วมันรู้ได้อย่างไรว่าเราเหมาะสมกับการออกกำลังกายแบบไหน” ผมก็จะตอบได้ว่า นอกจากการดูประวัติการออกกำลังกายย้อนหลังแล้ว การที่มีคนเลือกวิธีการออกกำลังกายที่ดูจากการใช้พลังงาน หรือการตั้งเป้าหมายว่าต้องการลดน้ำหนักมากแล้ว ก็ยังมีเซนเซอร์ที่มีพร้อมมากับนาฬิกาสมาร์ทวอทช์อย่าง เซนเซอร์การวัดชีพจร (Heart Rate Sensor) หรือการวัดค่าออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximeter) ที่จะวัดว่าเรานั้นได้เผาผลาญพลังงานไปแล้วเท่าไหร่อีกด้วย

หรือการมีเวลาในการออกกำลังกายระหว่างการพักทำงาน เช่นว่ามีเวลาว่าง 5 นาทีจะออกกำลังกายอะไรได้บ้าง หรือการออกกำลังกายนี้จะทำให้เรานั้นมีนิสัยการชอบออกกำลังกาย หรือการแจ้งเตือนเพื่อให้ออกกำลังกายได้อย่างไรนั้น…วันนี้เราจึงมารีวิวกันให้ดูกันว่าบริการไหนน่าสนใจให้คุณเอาไปใช้กันได้แล้ว

นี่คือ Apple Fitness+

ปลายปี 2020 ทาง Apple ก็ได้ทำการเปิดตัวบริการใหม่จาก Apple ในงาน Keynote ประจำปี ที่ชื่อว่า Apple Fitness+ ที่เห็นความสำคัญกับช่วงการกักตัวอยู่บ้านและอากาศที่หนาวเหน็บในต่างประเทศได้อย่างดี

Apple Fitness+ | ภาพจาก Apple

Apple Fitness+ คืออะไร

Apple Fitness+ เป้าหมายนั้นก็ตามชื่อเลยนั่นก็คือ Fitness โดยมีความหมายว่า “สมรรถภาพทางกาย” หรือ “ความสมบูรณ์แข็งแรง”

ซึ่งเมื่อเราเข้าไปใช้บริการครั้งแรกแล้ว ก็จะมีตัวเลือก ว่าเราต้องการเรียนหรือออกกำลังกายประเภทใดเป็นพิเศษ และเราก็สามารถเริ่มต้นจากตรงนั้นได้เลย ซึ่งภายในก็จะมีวิดีโอการสอน พร้อมกับแทรกเพลง เพื่อเปิดระหว่างการออกกำลังกายอีกด้วย

โดยตัวเลือกในการออกกำลังกายนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์ออกกำลังกายเพิ่มเติม ยกเว้นเพียงบางรายการ เช่นยกน้ำหนัก วิ่งลู่ ปั่นจักรยาน ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอยู่แล้ว

ภาพประกอบจาก Apple Newsroom

และนอกจากที่เราจะสามารถเรียนได้แล้วนั้น ระบบก็จะทำการแนะนำคลาสเรียนอันต่อไปที่เหมาะสมกับวิธีการออกกำลังกายของเรา โดยข้อมูลนี้จะเชื่อมต่อกันระหว่างอุปกรณ์ เพื่อให้เราสามารถออกกำลังกายต่อจากอุปกรณ์ใดก็ได้อีกด้วย

อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Apple Fitness+ นั่นก็คือการวัดการเต้นหัวใจที่จะบอกว่าคุณต้องอย่าหยุด เพราะคุณกำลังเบิร์นแคลเลอรี่อยู่เป็นต้น พร้อมกับการปิดวงล้อ 3 วง (Move-Excercise-Stand Ring) หรือที่เรียกกันว่าการปิดวง (Close the Ring) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณต้องทำอย่างไรหรือทำอะไรบ้างเพื่อให้มีสุขภาพดีทุกวัน

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ : การวัดการเต้นหัวใจจำเป็นต้องใส่ Apple Watch ระหว่างการใช้งาน การเผาผลาญพลังงานอาจแตกต่างกันระหว่างตัวบุคคล กรุณาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมทางด้านสุขภาพและบริการที่เว็บไซต์ Apple.com

ภาพประกอบจาก Apple

ถ้าอยากใช้ต้องทำอย่างไร

โดยหากว่าผู้ใช้งานสนใจที่จะสมัคร ก็สามารถจ่ายเงินเป็นรายเดือน เพื่อสมัครใช้ Apple Fitness+ ได้เลยในราคา $9.99 ต่อเดือน และ $79.99 ต่อปี (ราคาสโตร์สหรัฐ) โดยให้บริการแล้วในออสเตรเลีย แคนาดา ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา แต่สโตร์ประเทศไทยจะมาเมื่อไหร่ ก็คงต้องรอให้ทาง Apple มามีผู้ฝึกสอนที่พูดภาษาไทยเสียก่อน

และนอกจากการสมัครสมาชิกเพื่อใช้งานแล้ว เพื่อนๆ ยังจำเป็นที่จะต้องอุปกรณ์เหล่านี้เพื่อทำการเชื่อมต่อและใช้งานบริการ Apple Fitness+

  • Apple Watch Series 3 หรือสูงกว่า
  • iPhone 6s / iPhone SE หรือสูงกว่า

ซึ่งระหว่างการใช้งาน Apple Fitness+ จะใช้งานพร้อมกับ Apple Watch หรือไม่ก็ได้ แต่บริการจำเป็นที่จะต้องมีนาฬิกา Apple Watch ที่เชื่อมกับ iPhone อยู่อย่างน้อยหนึ่งเรือนเพื่อเปิดการใช้งานแอพ Fitness และใช้บริการ Apple Fitness+ (โดย Apple Watch นั้นจำเป็นที่จะต้องมีระบบปฏิบัติการ watchOS เวอร์ชัน 7.2 หรือสูงกว่า)

และเพื่อนๆ อาจจะใช้อุปกรณ์ดังกล่าวนี้ในการแสดงวิดีโอการออกกำลังกาย โดยมีความต้องการทางด้านฮาร์ดแวร์ดังนี้ พร้อมกับระบบปฏิบัติการณ์ iOS/iPadOS/tvOS เวอร์ชัน 14.3 หรือสูงกว่า

  • iPhone 6s / iPhone SE หรือสูงกว่า
  • iPad Pro, iPad (รุ่นที่ 5 หรือใหม่กว่า)
  • iPad mini 4 หรือรุ่นที่ใหม่กว่า
  • iPad Air 2 หรือ iPad Air (รุ่นที่ 3)
  • Apple TV 4K และ Apple TV HD

แล้วบริการอื่นหล่ะ

ภาพประกอบจาก Samsung

จริงๆ นอกจากบริการของ Apple แล้วก็ยังมีของ Samsung ที่มีบริการคล้ายคลึงกัน หรือบริการในต่างประเทศ ที่จะมีแอพที่เชื่อมต่อกับเครื่องออกกำลังกายในตัวอย่าง Peloton เป็นต้น โดยสตอรี่นี้ ผมขอพูดเพียงของ Apple เท่านั้น เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกัน

และสุดท้าย สำหรับสุขภาพจิต

แน่นอนว่าการออกกำลังกายหรือการนั่งสมาธินั้นสามารถทำให้เรามีจิตที่สงบขึ้น ซึ่งเพื่อนๆ ที่ได้ไปแวะดูแวะใช้ Apple Fitness+ ก็น่าจะเห็นตัวเลือกการนั่งสมาธิ/โยคะ ไปเรียบร้อยแล้ว ในหัวข้อปิดท้ายสตอรีนี้จึงมาพูดถึงคนที่ไม่มีก็แล้วกัน

สำหรับคนที่ไม่มีแล้วต้องการปรับสุขภาพจิตโดยด่วนเลย เพื่อนๆ ก็ควร

  1. โทรไปหาเพื่อน
    นอกจากเพื่อนร่วมงานที่อาจจะคุยเรื่องสนิทมากไม่ได้แล้ว เพื่อนๆ ก็อาจจะโทรหาเพื่อนสนิทที่ซี้กัน มาระบายความเครียดและสนุกไปด้วยกันจะดีกว่า
  2. เขียนเป้าหมายว่าวันนี้จะทำอะไร อยากทำอะไร
    หากคุณไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ คุณอาจจะทำงานเยอะเกินไปโดยไม่รู้ตัว
  3. นั่งสมาธิ
    แน่นอนว่าการปล่อยจิตใจให้สงบนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการจัดการกับความเครียดที่โถมมาทั้งวัน ดังนั้นนั่งสมาธิหรือปล่อยให้ใจฟุ้งซักพักจะเป็นอะไรไป
  4. ออกไปเดินเล่น
    เข้าใจนะว่าช่วงนี้คุณไม่ควรเดินออกไปไหน แต่ถ้าคุณไม่ออกไปเดินบ้างเลย มันก็จะซึมเศร้าไปเปล่า ๆ
    *แต่อย่าลืม ถ้าจะออกจากบ้านก็ต้องใส่หน้ากากและทำ Social Distancing ด้วย

คำแนะนำจาก healthline.com

โฆษณา

Share this post

About the author